คำถามที่ผู้หญิงควรรู้ . .

5 อันดับยาสตรีที่ดีที่สุด !

วันนี้เราจะมาจัดอันดับยาสตรีที่นิยมรับประทานกันในตลาดและเป็นที่ประทับใจกับผู้หญิงแบบเราๆ โดยมีการสำรวจและรวบรวมจากเว็ปไซด์และกระทู้ต่างๆจนได้มาซึ่ง 5 อันดับยาสตรีที่ดีและโด่งดังที่สุดในท้องตลาด … 

ควรเลือกกินยาสตรีอย่างไร

ค้นหาคำถามที่พบบ่อย

ค้นหาคำถามที่พบบ่อย กดปุ่มด้านล่างเพื่อค้นหา

คำถามปัญหาสุขภาพที่พบบ่อย

สรุปอาการของตกขาวที่ผิดปกติ 

– มีปริมาณมากกว่าปกติที่เคยมี 

– ข้นเหมือนแป้งเปียกหรือคราบนม 

– สีเริ่มออกเขียว หรือน้ำตาล ตกขาวมีฟอง มีกลิ่นเหม็นอับ ร่วมกับอาการแสบคันขณะปัสสาวะ 

– มีกลิ่นเหม็นคาวเหมือนปลาเน่า ขณะมีเพศสัมพันธ์ หรือหลังมีเพศสัมพันธ์ใหม่ๆ มีตกขาวร่วมกับอาการคัน หรือแสบ

การทำความสะอาดที่ดีที่สุด คือ การใช้น้ำเปล่า และซับให้แห้ง หากมีประจำเดือนควรเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆ ไม่แนะนำให้ใช้แผ่นอนามัย เพราะอับชื้นได้ง่ายกว่า และอย่าให้อับชื้น ควรเปลี่ยนชุดชั้นในเมื่อมีความเปียกชื้น ซักให้สะอาด และตากให้แห้งสนิทก่อนนำมาสวมใส่

–  มีเชื้อราบริเวณช่องคลอด จากการสวมใส่ชุดชั้นในอับชื้น     

–  ผนังมดลูกลอกตัวช้าหลังหมดประจำเดือน ช่องคลอดมีอาการระคายเคือง รับประทานยา หรืออาหารบางชนิด เช่น ยาปฏิชีวนะบางตัว อาหารหมักดอง อาหารทะเล 

–  มีแผลจากการติดเชื้อในช่องคลอด ตั้งครรภ์ โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์ที่ป่วยโรคเบาหวาน 

–  มีเพศสัมพันธ์กับผู้มีเชื้อหนองใน (ตกขาวมีลักษณะเหมือนหนอง อาจมีปริมาณไม่มาก และอาจมีกลิ่นเพียงเล็กน้อย ต้องให้แพทย์ตรวจอย่างละเอียด)

แพทย์หญิงนภวรี จันทรวงศ์ แพทย์ผู้ชำนาญด้านสูติศาสตร์นรีเวชวิทยา ศูนย์สูติศาสตร์นรีเวชวิทยา โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล (WMC) ระบุว่า ซีสต์ (cyst)  คือ การสะสมของน้ำ เป็นถุงน้ำ เป็นก้อนหรือตุ่มที่เกิดขึ้นตามร่างกาย โดยมีลักษณะเป็นถุงที่บรรจุอากาศ ของเหลว น้ำ ไขมัน หรือมีเนื้อเยื่อผสมอยู่ก็ได้ ซึ่งถือเป็นความความผิดปกติของร่างกาย ซึ่งสามารถก่อตัวขึ้นได้ในรังไข่ หากพบในวัยเจริญพันธุ์มักจะเป็นซีสต์ปกติที่หายได้ อีกส่วนหนึ่งก็อาจเป็นซีสต์ที่ผิดปกติที่จำเป็นต้องได้รับการรักษา แต่ถ้าพบในคนวัยใกล้หมดประจำเดือนอาจเป็นซีสต์ผิดปกติที่มีโอกาสเป็นหรือไม่เป็นมะเร็งได้

  รังไข่ จะทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนเพศหญิง เพื่อควบคุมเยื่อบุโพรงมดลูกจะช่วยรองรับการตั้งครรภ์ หรือเกิดประจำเดือนหากไม่มีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น ขนาดของซีสต์ มีหลากหลายขนาดและลักษณะมีทั้งขนาดเล็กขนาดใหญ่ บางรายเป็นก้อนจำนวนน้อย บางรายตรวจพบเต็มท้อง ส่วนใหญ่ถุงน้ำในรังไข่หรือซีสต์ไม่มีอาการอะไรเลย ส่วนใหญ่จะตรวจพบจากการตรวจสุขภาพประจำปีของแพทย์ อาการของโรคจะขึ้นอยู่กับชนิดของถุงน้ำที่เกิดขึ้น บางรายอาจไม่มีอาการ หรือบางรายอาจมีอาการเพียงเล็กน้อย โดยสามารถสังเกตอาการได้ ดังนี้   

  ปวดท้องน้อยเรื้อรัง ปัสสาวะบ่อยขึ้นหรือปัสสาวะลำบาก มีอาการปวดประจำเดือน มีอาการหน่วงๆ ตึงๆ ท้องน้อย หรือปวดท้องน้อยเฉียบพลัน เจ็บหรือปวดขณะมีเพศสัมพันธ์ คลำพบก้อนในท้องน้อย

การกินยาพวกนี้เดือนละ 2-3 วันเพื่อบรรเทาอาการ เป็นเรื่องปกติค่ะ ไม่ต้องไปกลัวมากจนเกินไป
ยกเว้นคนที่มีโรคประจำตัว โรคตับ โรคไต โรคกระเพาะ ที่ต้องใช้ยาอย่างระวังหน่อย คนปกติแข็งแรงดีกินได้ปกติค่ะ ไม่ต้องทนปวด
 

ผู้ที่ประจำเดือนมาผิดปกติ ส่วนใหญ่จะมาพบแพทย์ด้วยอาการ ประจำเดือนออกกระปริด กระปรอย ประจำเดือนมามาก หรือน้อยเกินไป และประจำเดือนขาดหายโดยมิได้เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ อาการเหล่านี้ อาจส่งผลถึงการทำงานของรังไข่ และหากเกิดในผู้สูงอายุอาจเกี่ยวข้องกับโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก สาเหตุหลักของประจำเดือนที่มาผิดปกติ การตรวจวินิจฉัยสามารถทำได้ 2 วิธี คือ 1 การตรวจภายใน  2 การตรวจอัลตร้าซาวด์หน้าท้องหรือช่องคลอด 

เนื้องอกมดลูก เป็นโรคทางนรีเวชยอดฮิตที่พบได้บ่อยประมาณร้อยละ 25 ในผู้หญิงอายุ 35 ปีขึ้นไป และพบได้มากถึง 1 ใน 3 ของผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ อาจพบที่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งในตัวมดลูก มีขนาดต่างกันไป บางชนิดโตช้า บางชนิดโตเร็ว อาจจะมีก้อนเดียวหรือหลายก้อนก็ได้ แต่ที่น่าเป็นกังวลคือผู้หญิงหลายคนไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคนี้ เนื่องจากเนื้องอกมดลูกจะไม่มีอาการแสดงใด ๆ ที่เป็นสัญญานเตือนบ่งบอกชัดเจน หลาย ๆ ท่านทราบโดยบังเอิญจากการตรวจสุขภาพประจำปีหรือมาปรึกษาหมอด้วยโรคอื่น ๆ

สมุนไพรที่มีผลกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต

กวาวเครือ ตังกุย ถั่งเช่า ว่านชักมดลูก โสม สมุนไพรไทย-จีนอื่น ๆ

    ผู้หญิงไม่น้อยที่มีปัญหาเรื่องเลือดลม ท่ามกลางโฆษณายาสตรีมากมาย ควรจะกินดีหรือไม่ เพจ Fda Thai ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีคำตอบ โดยว่า ยาบำรุงเลือดสำหรับสตรีจัดเป็นยาแผนโบราณ มีสรรพคุณในการบำรุงเลือด บำรุงร่างกายเจริญอาหาร แก้ประจำเดือนมาไม่ปกติ โดยยาสตรีมีทั้งรูปแบบยาเม็ด และยาน้ำ 

    ซึ่งจะกล่าวถึงเฉพาะยาน้ำบำรุงเลือดสตรี โดยมากยาน้ำบำรุงเลือดสำหรับสตรี มักประกอบด้วย โกฏเชียง โกฏหัวบัว กิ่งอบเชย แอลกอฮอล์ (บางสูตร) นอกจากนี้ ยังมีฮอร์โมนที่คล้ายกับฮอร์โมนเพศหญิง นั่นคือ Phytoestrogen ซึ่งยาบำรุงเลือดสำหรับสตรีแต่ละยี่ห้อ ก็จะมีส่วนผสมแตกต่างกันออกไป ดังนั้น ต้องใช้ให้ถูกต้องตรงกับอาการที่เป็น ไม่อย่างนั้นอาจไม่ได้ผลในการรักษา ยาน้ำบำรุงเลือดสำหรับสตรีบางยี่ห้ออาจมีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสม ไม่แนะนำให้กินติดต่อกันเป็นระยะเวลานานเพราะอาจทำให้เกิดพิษที่ตับจากแอลกอฮอล์ได้ และนอกจากนี้ ยาบำรุงสำหรับสตรีจะมีสมุนไพรบางตัว เช่น รากเจตมูลเพลิงแดง จะส่งผลให้ทารกเจริญผิดรูปได้ ดังนั้น หญิงที่ตั้งครรภ์ห้ามรับประทานยาสตรีเด็ดขาด เพราะจะทำให้ทารกในครรภ์พิการได้ หากรับประทานยาน้ำบำรุงเลือดสำหรับสตรีในปริมาณที่พอเหมาะ 

   จะเห็นได้ว่ายาสตรีมีประโยชน์ต่อผู้หญิงมาก แต่การรับประทานมากจนเกินไปก็อาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้ ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนที่จะใช้ยาทุกครั้ง

สาวๆ หลายคนประสบปัญหามีประจำเดือนทีไร ก็ปวดท้องเมื่อนั้น ต้องพึ่งยาแก้ปวดกันไปทุกเดือน ซึ่งไม่ได้มีอันตรายอะไรกับร่างกายมากนักหรอกนะคะ แต่หากไม่มีอาการปวดตั้งแต่ต้นได้มันก็คงดีไม่น้อย ลองมาทานอาหารตามนี้กัน รับรองว่าลดอาการปวดท้องประจำเดือนได้ดีโดยอาจไม่ต้องพึ่งยาแก้ปวดอีกต่อไป

1. ลดไขมัน ลดเนื้อสัตว์

การเลี่ยงไขมันทุกชนิด รวมถึงเนื้อสัตว์บก น้ำสลัดชนิดครีม อาหารทอด จะช่วยให้อาการปวด และอืดบวมน้อยลง หากลดไขมันลงครึ่งหนึ่ง จะลดระดับเอสโทรเจนได้ประมาณ 20% และถ้าลดลงได้มากกว่านั้น การผลิตเอสโทรเจนก็จะยิ่งน้อย อาการปวดท้องก็จะยิ่งลดลงไปอีก

2. เลือกทานปลา และไข่แทน

กรดโอเมก้า-3 หรือน้ำมันปลา ช่วยลดอาหารปวดท้องได้ และการเสริมน้ำมันปลา จะช่วยลดปริมาณประจำเดือนในสาวๆ ที่ประจำเดือนมามากผิดปกติด้วย

3. เพิ่มอาหารที่มีกากใย

เพิ่มผัก ผลไม้ และเมล็ดธัญพืชไม่ขัดสีในมื้ออาหารทุกๆ วัน จะช่วยให้ร่างกายลดเอสโทรเจนส่วนเกินได้ ตับจะดึงเอสโทรเจนจากกระแสเลือดผ่านท่อน้ำดีเข้าไปในลำไส้เล็ก ซึ่งจะมีใยอาหารทำหน้าที่เหมือนฟองน้ำคอยดูดซับ และนำไปขจัดออกพร้อมของเสีย เพราะฉะนั้นยิ่งกินใยอาหารมากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้เอสโทรเจนถูกขจัดออกจากระบบมากขึ้น

4. ลดเค็ม

หากทานอาหารรสเค็ม รวมไปถึงอาหารรสจัดน้อยลง อาจช่วยลดอาการอืด และบวมน้ำในผู้หญิงบางคนได้

5. ลดกาเฟอีน น้ำตาล แอลกอฮอล์ และกินอาหารแคลเซียมสูง

แพทย์หญิงซูซาน ธีร์-จาคอบส์ แห่งโรงพยาบาลเซนต์ลุคส์-โรสเวลต์ ประเทศสหรัฐอเมริกา แนะนำให้กินแคลเซียมวันละ 1,200 มิลลิกรัม จะช่วยลดปัญหาปวดท้องประจำเดือนได้ อาหารแคลเซียมสูง ได้แก่ ผลิตภัณฑ์นมพร่องมันเนย หรือขาดไขมัน โยเกิร์ต เนยแข็ง เต้าหู้ ผักใบเขียวจัด

6. สมุนไพรบางชนิด

แม้ว่าสมุนไพร และอาหารเสริมบางชนิดจะไม่มีข้อมูลการวิจัยที่ชัดเจน แต่ก็มีการใช้มานานในด้านแผนโบราณ เพื่อลดอาการปวดท้องประจำเดือน หรืออาจช่วยเรื่องของการปรับฮอร์โมน ปรับสมดุลร่างกายให้ดีขึ้นได้

ตัวอย่างน้ำสมุนไพร เช่น น้ำขิงช่วยลดอาการคลื่นไส้ น้ำราสเบอร์รี่ และสมุนไพรอย่างคาโมมายล์ ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น หรือตังกุย ที่มีสารช่วยขยายหลอดเลือด ป้องกันการบีบเกร็งของหลอดเลือด เป็นต้น

(ไม่ควรทานตังกุยมากเกินไป เพราะจะทำให้ผิวหนังมีความไวต่อแสงแดดได้)

นอกจากอาหารการกินแล้ว การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การฝึกโยคะ และการฝึกสมาธิ จะทำให้ร่างกายหลั่งเอนดอร์ฟิน ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย ลดอาการปวดท้องประจำเดือนได้เช่นกัน เคล็ดลับง่ายๆ แบบนี้ ลองทำตามกันดูนะคะสาวๆ

โรคมะเร็งชนิดแรกๆ ที่ผู้หญิงหลายคนกลัว คงหนีไม่พ้น มะเร็งเต้านม และมะเร็งปากมดลูก ด้วยเหตุเพราะมะเร็งยังคงเป็นโรคที่ไม่ทราบสาเหตุที่เกิดของโรคอย่างแน่ชัด

แต่ถึงจะยังไม่ทราบสาเหตุของโรคอย่างแน่ชัด เราก็ยังลดโอกาสในการเกิดมะเร็งได้ โดยเฉพาะมะเร็งปากมดลูก มีวิธีง่ายๆ ไม่กี่ข้อที่ช่วยทำให้คุณคลายกังวลว่าคุณอาจจะไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับเจ้าโรคนี้

 

  1. หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย

เนื่องจากมะเร็งปากมดลูก มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัส HPV จึงมีความเป็นไปได้ว่าการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ระวัง มีความปลอดภัยต่ำ จะเป็นสาเหตุทำให้ติดเชื้อได้ จึงเป็นที่มาว่าหากยังมีอายุน้อย อาจยังมีความรู้เรื่องการมีเพศสัมพันธ์ด้วยความปลอดภัยน้อยกว่าคนที่โตแล้ว ทั้งเรื่องของความสะอาด การใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกวิธี หรือแม้กระทั่งการเลือกคู่นอน ที่อาจยังขาดสติสัมปชัญญะไป

  1. หลีกเลี่ยงการมีเปลี่ยนคู่นอน

ทั้งเด็ก วัยรุ่น หรือผู้ใหญ่ มีโอกาสติดเชื้อไวรัส HPV สาเหตุของโรคมะเร็งปากมดลูกได้จากการเปลี่ยนคู่นอนสูงมาก โดยเฉพาะการใช้บริการทางเพศ และไม่มีการป้องกัน เช่น ไม่สวมถุงยางอนามัย เป็นต้น

  1. ลดการสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์

การสูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์ ทำลายภูมิต้านทานไวรัสในร่างกาย รวมไปถึงทำลายระบบการทำงานของอวัยวะหลายส่วน ทำให้หลอดเลือดไม่แข็งแรง ทำงานไม่ได้ประสิทธิภาพ จนทำให้ไม่สามารถต่อสู้กับไวรัสต่างๆ ที่เข้ามาในร่างกายได้ จึงเป็นการเพิ่มโอกาสในการติดเชื้อไวรัส HPV ได้เช่นกัน

  1. ฉีดวัคซีน HPV

ข่าวดีสำหรับคุณผู้หญิง คือ มะเร็งปากมดลูก เป็นหนึ่งในมะเร็งไม่กี่ชนิดที่มีวัคซีนป้องกันโรคที่ให้ผลค่อนข้างดี โดยเป็นการฉีด 3 เข็ม เข็มที่ 2 หลังจากเข็มแรก 1-2 เดือน และเข็มที่ 3 ฉีดหลังเข็มแรก 6 เดือน ผู้รับวัคซีนอาจได้รับผลข้างเคียงเล็กน้อย เช่น มีอาการบวม แดง คันบริเวณที่ฉีด หรืออาจจะปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน อ่อนเพลีย หรือมีผื่นขึ้นตามตัว แต่อาการจะไม่หนัก และจะค่อยๆ หายไปเอง

  1. ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอ

แม้ว่าเชื้อไวรัส HPV จะใช้เวลายาวนาน 10-20 ปีกว่าจะกลายเป็นมะเร็ง แต่เพราะระยะเวลาที่ยาวนานจึงอาจทำให้ใครหลายคนละเลย หรือลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเคยมีความเสี่ยงต่อโรคนี้ ดังนั้นจึงแนะนำให้ไปตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกทุกๆ 1-2 ปี หรือ 3-5 ปีสำหรับคนที่มีความเสี่ยงน้อย (มีคู่นอนแค่คนเดียว) นอกจากจะช่วยลดความความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งปากมดลูกแล้ว ยังช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งในส่วนอื่นๆ ใกล้เคียงอีกด้วย เช่น มะเร็งรังไข่ มะเร็งตับ มะเร็งปอด ฯลฯ

.

  “เนื้องอกมดลูก” สาเหตุมีลูกยาก นอกจากนี้เนื้องอกในโพรงมดลูกยังเป็นสาเหตุหนึ่งของภาวะมีบุตรยากร่วมด้วยคือ เนื้องอกจะทำให้โพรงมดลูกมีรูปร่างผิดปกติไป ทำให้ตัวอ่อนมาฝังตัวที่บริเวณโพรงมดลูกไม่ได้ นอกจากนี้ถ้ามีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นก็อาจทำให้มีการแท้งหรือมีการคลอดก่อนกำหนดตามมาทีหลังได้ 

  การรักษาเนื้องอกมดลูก ถ้าไม่มีอาการก็ไม่ต้องรักษาใดๆแค่ติดตามอัลตราซาวด์เป็นระยะเพื่อดูขนาดของเนื้องอก แต่ในรายที่มีอาการก็จำเป็นที่ต้องรักษา การรักษาก็เริ่มจากการใช้ยา เพื่อลดปริมาณประจำเดือนหรือลดอาการปวดท้องประจำเดือน แต่ในรายที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาก็จำเป็นที่ต้องรักษาด้วยการผ่าตัด ซึ่งมีทั้งการผ่าตัดแบบส่องกล้องและการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับขนาดและตำแหน่งของเนื้องอกมดลูก

   ผู้ป่วยที่มีเนื้องอกมดลูกส่วนมากจะไม่มีอาการ คนไข้ที่มีอาการมักเกิดจากเนื้องอกในโพรงมดลูก และเนื้องอกที่กล้ามเนื้อมดลูกที่มีขนาดใหญ่จนเบียดเข้ามาในโพรงมดลูก อาการก็จะมีประจำเดือนมามากและมานาน ปวดท้องประจำเดือนมาก ในรายที่เนื้องอกมีขนาดใหญ่มากๆ ก็จะอาจจะคลำเจอก้อนได้ที่หน้าท้อง หรือมีอาการของเนื้องอกไปกดเบียดอวัยวะข้างเคียงเช่น ท้องผูก ปัสสาวะลำบาก.

   ประจำเดือน มาถี่ๆ เกิดจากสาเหตุอะไร? วงจรของรอบเดือนที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นเรื่องปกติที่มักพบในเด็กสาววัยรุ่นส่วนใหญ่ สำหรับบางคนประจำเดือนอาจมาช้า หรือเร็วต่างจากรอบเดือนเดิม แต่บางคนประจำเดือนก็ดันมามากถึง 2 ครั้งต่อเดือนเลยทีเดียว ซึ่งมีสาเหตุหลักๆ ดังต่อไปนี้ ฮอร์โมนของวัยแรกรุ่นที่ยังไม่สมดุลคงที่ มีความตึงเครียดปะปนในขณะถึงวันตกไข่ ภาวะไข่ไม่ตก (lack of ovulation) ไทรอยด์เป็นพิษ (hyperthyroidism) การใช้ยาที่เกี่ยวข้องกับการคุมกำเนิด น้ำหนักที่เพิ่มขึ้น หรือลดลงอย่างรวดเร็ว ภาวะร่างกายที่กำลังเข้าสู่ช่วงวัยหมดประจำเดือน สีของประจำเดือนในรอบที่สองนั้นอาจแตกต่างจากรอบแรก มักปรากฏให้เห็นลักษณะสีแดงเข้ม น้ำตาล หรือชมพูอ่อนๆ และมีจำนวนปริมาณของเลือดลดน้อยลงกว่าเดิม เพื่อป้องกันการเปรอะเปื้อนควรพกผ้าอนามัยติดตัวไว้ เมื่อเริ่มมีอาการปวดเกร็งบริเวณท้องน้อย อาการแทรกซ้อนเมื่อ ประจำเดือน คุณกำลังมารอบที่ 2 ปวด เมื่อยล้าทั้งลำตัว หรือบริเวณหลัง อาการปวดหัว อ่อนเพลียง่าย ไม่มีเรี่ยวแรง เวียนหัว คลื่นไส้ อัตราการเต้นของหัวใจถี่ จังหวะการหายใจแรง ประจำเดือน มาสองรอบเป็นสัญญาณเตือนของโรคอะไรได้บ้าง ระวังสุขภาพของคุณให้ดีหากประจำเดือนมาบ่อยในระยะเวลาเพียงเดือนเดียว อาจทำให้คุณเป็นโรคร้ายแรงได้ เช่น

© 2020 ยาสตรี.com – All rights reserved.